หลักการและแนวคิด

ระบบซื้อขายสิทธิการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

          ระบบการซื้อขายสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Emission Trading System: ETS) เป็นเครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์ภายใต้กลไกตลาดคาร์บอน โดยภาครัฐเป็นผู้กำหนดเพดานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยรวมขององค์กรที่ถูกควบคุม (Cap setting) และภาครัฐจะออกสิทธิการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Allowance) ตามจำนวนเพดานที่กำหนดไว้ โดย 1 สิทธิการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมีค่าเท่ากับ 1 ตันคาร์บอนไดออกไซต์เทียบเท่า โดยองค์กรต่าง ๆ ที่อยู่ในระบบจะได้รับการจัดสรรสิทธิการปล่อยก๊าซเรือนกระจกแบบให้เปล่า (Free allowance) หรือ ประมูลสิทธิการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Auction) ตามรอบประมูลที่จัดขึ้น


 

 เพดานการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Cap setting) คืออะไร

ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่สามารถปล่อยได้ของแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรมที่ถูกควบคุม สามารถกำหนดได้ 2 รูปแบบ ได้แก่
1. กำหนดในรูปของตันคาร์บอนไดออกไซต์เทียบเท่า (Absolute cap) โดยกำหนดปริมาณไว้ล่วงหน้าแล้วค่อยๆ ปรับลดลงตามระยะเวลา 
2. กำหนดในรูปของตันคาร์บอนไดออกไซต์เทียบเท่าต่อหน่วยผลผลิต (Intensity-based cap) 
ทั้งนี้ การกำหนดเพดานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกควรคำนึงถึงเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภาพรวมขององค์กรที่ถูกควบคุมทั้งหมดด้วย เพื่อช่วยให้องค์กรเหล่านั้นสามารถวางแผนการลงทุนได้อย่างเหมาะสมในระยะยาว

 จัดสรรสิทธิการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างไร

ภาครัฐมีวิธการพิจารณาจัดสรรสิทธิการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้กับองค์กรที่อยู่ในระบบได้ 2 วิธีการ
1. จัดสรรแบบให้เปล่า (Free allocation) 
2. จัดสรรโดยการประมูล (Auction)

 ทำไมการจัดสรรสิทธิการปล่อยก๊าซเรือนกระจกถึงสำคัญ

การจัดสรรสิทธิการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Allowances) นั้นเป็นหัวใจสำคัญที่ส่งผลต่อทิศทางการดำเนินกิจการขององค์กรที่ถูกควบคุมในระบบ ซึ่งสะท้อนผ่านปริมาณการผลิต การตัดสินใจลงทุน หรือการผลักดันต้นทุนส่วนเพิ่มในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ผู้ผลิตผลักดันไปสู่ผู้บริโภค เป็นต้น 
รูปแบบการจัดสรรสิทธิการปล่อยก๊าซเรือนกระจกแบบให้เปล่า
1. Grandparenting – การกำหนดจำนวนที่แน่นอนของสิทธิการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยไม่คำนึงถึงกิจกรรม/ระดับการผลิตจะเปลี่ยนแปลงไป แต่จัดสรรให้ตามปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในอดีตหรือตามระดับกิจกรรมการผลิตในช่วงที่กำหนดให้เป็นปีฐานอ้างอิง
2. Benchmarking – การกำหนดจำนวนสิทธิการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามผลการดำเนินงานจริง โดยเปรียบเทียบกับค่าสมรรถนะ ซึ่งค่าสมรรถนะกำหนดตามความเข้มข้นของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อหน่วยการผลิตหรือกลุ่มอุตสาหกรรม ซึ่งช่วยให้เกิดความเป็นธรรมและเป็นข้อดีสำหรับองค์กรที่เริ่มดำเนินรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศก่อน โดยค่าสมรรถนะอาจถูกกำหนดจาก ระดับเฉลี่ย ระดับแนวปฏิบัติที่ดีที่สุด หรือ ระดับกลาง (เช่น ค่าเฉลี่ยของผู้อยู่ในลำดับ 10% ที่มีผลการดำเนินงานสูงสุด) เป็นต้น

 การฝากสิทธิการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Banking)

องค์กรที่อยู่ในระบบสามารถฝากสิทธิการปล่อยก๊าซเรือนกระจกส่วนเกินไว้ใช้ในบัญชีของตนเองเพื่อเก็บไว้ใช้ หรือ ขาย ในช่วงปีพันธกรณีถัดไปได้ อย่างไรก็ตาม หากปล่อยให้มีการฝากได้อย่างไม่จำกัดอาจส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจจากสภาวะอุปทานสิทธิการปล่อยก๊าซเรือนกระจกล้นตลาด รวมถึงอาจส่งผลให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงเกินกว่าระดับที่กำหนด

 การยืมสิทธิการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Borrowing)

ในทางตรงกันข้าม องค์กรที่อยู่ในระบบสามารถยืมสิทธิการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในอนาคตของตนเองมาใช้ในช่วงปีพันธกรณีปัจจุบันได้ อย่างไรก็ตามการยืมสิทธิการปล่อยก๊าซเรือนกระจกช่วยชะลอการดำเนินการเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระยะสั้นเพื่อให้บรรลุเป้าหมายได้ อาจส่งผลให้องค์กรไม่เกิดการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ดำเนินการเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ซึ่งผู้ออกกฎส่วนมากจึงห้ามให้มีการยืมสิทธิการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือ จำกัดปริมาณที่เหมาะสม

 ใครเป็นผู้กำกับดูแล

ภาครัฐจะต้องตัดสินใจเลือกกลุ่มอุตสาหกรรมใดบ้าง และก๊าซเรือนกระจกชนิดใดบ้างที่ต้องถูกควบคุมในระบบ

 องค์กรที่อยู่ในระบบ ต้องบริหารจัดการสิทธิการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของตนเองอย่างไร

ในช่วงสิ้นปีหรือช่วงเวลาที่กำหนด แต่ละองค์กรในระบบจะต้องส่งมอบสิทธิการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Surrender) ให้เท่ากับปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกมา

 ทำอย่างไรจะมั่นใจว่าระบบซื้อขายสิทธิการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมีประสิทธิภาพ

ข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่น่าเชื่อถือเป็นพื้นฐานที่สำคัญมากสำหรับการดำเนินการภายใต้ระบบซื้อขายสิทธิการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจะต้องมีการตรวจวัด (measurement) การรายงาน (reporting) และการทวนสอบ (verification) โดยองค์กรที่อยู่ในระบบจะต้องติดตามและรายงานผลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อหน่วยงานที่รับผิดชอบ โดยรายงานดังกล่าวจะต้องได้รับการทวนสอบจากผู้ประเมินภายนอกเพื่อยืนยันความถูกต้อง
การซื้อขายสิทธิการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กรในระบบจะถูกบันทึกในระบบทะเบียน เพื่อช่วยลดความเสี่ยงธุรกรรมทุจริตต่าง ๆ 

 การเชื่อมโยงตลาด (Linkage)

การเชื่อมโยงตลาดอาจเกิดขึ้นได้หลายวิธีการ เช่น 
- การเชื่อมโยงระบบซื้อขายสิทธิการปล่อยก๊าซเรือนกระจกไว้ด้วยกัน โดยผู้ที่อยู่ในระบบหนึ่งสามารถใช้สิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากอีกระบบหนึ่งได้
- การเชื่อมโยงตลาดทางอ้อม เช่น การโอนสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือ คาร์บอนเครดิต ระหว่างระบบหนึ่งไปสู่ระบบหนึ่งผ่านการเชื่อมโยงระบบทะเบียน หรือ การยกเลิก ในระบบนั้นไปเพิ่มในอีกระบบหนึ่ง

 ทำไมต้องเชื่อมโยงตลาด

การเชื่อมโยงตลาดส่งเสริมให้เกิดข้อดีหลายด้าน เช่น
1. ทำให้ตลาดมีขนาดใหญ่ขึ้น เกิดความหลากหลายในการเลือกวิธีการลดก๊าซเรือนกระจกในต้นทุนที่แตกต่างกัน
2. ทำให้มีผู้เล่นในตลาดเพิ่มขึ้น และส่งเสริมให้ตลาดเกิดสภาพคล่อง
3. ทำให้ลดผลกระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขัน
4. เสริมสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ และลดแรงกดดันทางการค้า

 การชดเชยด้วยคาร์บอนเครดิตในระบบซื้อขายสิทธิการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

ในระบบซื้อขายสิทธิการปล่อยก๊าซเรือนกระจก องค์กรที่อยู่ในระบบสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกด้วยตนเอง หรือ การซื้อสิทธิการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากองค์กรอื่น ระบบบางแห่งอาจตั้งกฎระเบียบที่มีความยืดหยุ่นมากขึ้น โดยอนุญาตให้สามารถใช้คาร์บอนเครดิตเพื่อชดเชยได้ อย่างไรก็ตามระบบจะมีการกำหนดเพดานการใช้คาร์บอนเครดิต และประเภทคาร์บอนเครดิตที่สามารถใช้ได้ไว้ด้วยเช่นกัน เพื่อรักษาสมดุลของระบบสิทธิการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

 

อ้างอิง : ETS Briefs, ICAP